รีวิว GHOST LAB ฉีกกฎทดลองผี (2021 Netflix)
รีวิว GHOST LAB ฉีกกฎทดลองผี (2021 Netflix) จะเป็นอย่างไร ถ้านำกระบวนการการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์มาศึกษาเรื่องความเชื่อที่เป็นขั้นตรงกันข้ามเป็นเรื่อง “ผี” ด้วยการเสนอคำถาม ค้นหาตัวแปรสำคัญ เพื่อพิสูจน์ว่า “โลกหลังความตาย” มีอยู่ใช่หรือไม่ เผื่อเปิดเผยความลับของจักรวาลนี้ที่ยังไม่มีใครเคยพิสูจน์ให้โลกได้รับทราบ นี่เป็นปัญหาสำคัญของหนังเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องราวจะเป็นอย่างไร สามารถเชิญชวนติดตามอ่าน / รับชมยอมรับฟังได้ทางรีวิวนี้เลยครับผมหากจะพูดถึงหนังที่พยายามเล่าถึง โลกหลังความตาย ว่ามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร หรือมีใช่หรือไม่ เท่าที่นึกได้ ก็มีอยู่ด้วยกัน 2 เรื่องคือ
What Dreams May come (1998) เล่าเรื่องของนายแพทย์คนหนึ่ง ที่จำต้องมาประสบกับเรื่องราวอันทรามที่สุดก็คือ ลูก 2 ผู้ตายอย่างเร็ว แล้วก็ตามด้วยเมียปฏิบัติการฆ่าตัวตายอันเหตุเพราะไม่สามารถทนอยู่กับการสูญเสียลูกทั้งสองคนได้ แล้วหลังจากนั้นเมื่อถึงคราวหมอตายไป เขาก็ได้ไปอยู่ในสวรรค์ที่มีเพียงแต่ความงาม แต่แทนที่เขาจะดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนั้น เขากลับเลือกทิ้งชีวิตสุขเพื่อไปช่วยเหลือภรรยาที่อยู่ในเมืองนรก หนังเรื่องนี้เขาตีความเรื่องราวของชีวิตข้างหลังความตาย สวรรค์และก็เมืองนรกได้งาม
แถมยังเอ่ยถึงผลกรรมที่คนสร้างไว้ที่ได้นับไม่เหมือนกันเจริญมากอีกด้วยอีกหัวข้อคือ The Discovery (2017) หนังปรัชญาจาก Netflix เป็นหนังที่ตั้งปริศนากับว่า “โลกตอนนี้หรือโลกแห่งความตาย โลกไหนดีกว่ากัน” ทั้งยังยังตอบคำถามว่า ความตายคืออะไร ความตายเป็นจุดสิ้นสุดของการเดินทางของชีวิตไหม รายละเอียดของหนังเน้นย้ำไปที่การทดสอบเกี่ยวกับการมีอยู่ของชีวิตหลังความตายอย่างไรก็แล้วแต่หนังทั้งสองเรื่องที่กล่าวไปนั้น ส่วนสำคัญของเรื่องกลับเอ๋ยถึงวิธีการทำให้เห็นว่า
คุณประโยชน์สำคัญที่สุดก็คือการมีชีวิตอยู่นั่นเองกลับมาที่ GHOST LAB ฉีกกฎทดสอบผี เป็นหนังสายวิทยาศาสตร์จาก GDH ที่ ควบคุมโดย ปวีณ ความฉลาดจิตปัญญา ที่เคยฝากผลงานหนังสยองขวัญมาแล้วทีนี้คือ บอดี้ ศพ19 (2550), สี่แพร่ง (2551) ตอน “ยันต์สั่งตาย” และ ห้าแพร่ง (2552) ตอน “หลาวชะโอน” กับทีมอำนวยการสร้างชุดใหญ่จาก GTH เดิม ด้วยเหตุดังกล่าว ก็เลยค่อนข้างเชื่อใจได้ว่า หนังควรจะมีบางอย่างที่พิเศษไปกว่าการทดสอบเรื่องผีอย่างแน่นอน
GHOST LAB ฉีกกฎทดลองผี
เล่าเรื่องราวของแพทย์ชายหนุ่มกล้าหาญ แสดงนำโดย ไอซ์-พาริส กับแพทย์ชีวี นำแสดงโดยต่อ-ธนภพ ในกลางคืนหนึ่งทั้งคู่คนอยู่ยามกะดึก แล้วได้เห็นผีตัวเป็นๆในโรงพยาบาล ทั้งคู่จึงได้ตกลงด้วยกันว่าจะปฏิบัติงานวิจัยเรื่องผี เพื่อพิสูจน์ให้ผู้คนได้รู้ว่าผีมีจริง และก็หวังว่าจะได้ลงแมกกาซีนงานค้นคว้าระดับโลกทั้งสองคนเริ่มปฏิบัติงานวิจัยโดยการไล่ถ่ายทำในโรงหมอยาในทุกช่วงเวลากลางคืน แม้กระนั้นการใกล้เคียงกับผีเยอะที่สุดก็แค่การเห็นสิ่งของต่างๆเคลื่อนย้ายได้เอง
และนั่นมันก็ยังไม่สามารถพิสูจน์การมีตัวตนของผีได้แต่ว่าแล้ววันหนึ่งพวกเขาทั้งคู่ก็เริ่มคิดได้ว่า เหตุการปรากฏตัวของผีที่จะทำให้ใครบางคนหนึ่งได้เห็นนั้น มันคงจะมีตัวแปรที่สำคัญสักอย่าง ทั้งสองจึงเริ่มระบุตัวแปรใหม่เป็น ผีหรือวิญญาณของคนที่รู้จัก
กับผีหรือวิญญาณที่คนไม่เคยรู้ ซึ่งการที่พวกเรามองเห็นผีนั้น เราเห็นผีจากตัวแปรตัวไหนมากยิ่งกว่ากันแล้วต่อจากนั้นก็เริ่มหาผู้เข้าร่วมทดลอง แต่ว่าสิ่งที่เขาทั้งสองคนทำมันเริ่มเกินเลยคำว่าจริยธรรม และก็มันกำลังลำเส้นรวมทั้งการเส้นนี้จุงส่งผลให้เกิดผลด้านร้ายตามมาจนกระทั่งไม่บางทีอาจสามารถปรับแก้ได้ ซึ่งเรื่องราวจะเป็นอย่างไรถัดไปนั้นก็ขอให้รับชมได้ทาง Netflix เลยครับ
จำต้องขอบอกก่อนเลยว่า หากจะกล่าวโทษสมเหตุสมผลหรือตรรกะ GHOST LAB ฉีกกฎทดสอบผี ผมว่าไม่น่าจะมี ทุกสิ่งในหัวข้อนั้นดูเหมือนกับว่ามันจะออกไปไกลเหลือเกินมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจทำบางอย่าง หรือการจะทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้สำเร็จที่ตามมาดูเหมือนว่ามันจะเกือบจะไม่ค่อยสมเหตุสมผล และก็เสมือนจะไม่ค่อยมีพลังมากพอ ที่จะทำให้ตัวละครลงมือทำแบบงั้น
เอาง่าย ๆ ว่า แรงผลักดันที่กระตุ้นให้เกิดความประพฤตินั้นยังไม่ทรงอำนาจมาพอนั่นเองแต่ว่าหนังมันก็มิได้ไร้เหตุผลอะไรไปซะขนาดนั้น เพราะว่าหนังเข้าทำให้พวกเรามองเห็นเลยว่า การตัดสินใจทำบางสิ่ง ในตอนแรกพวกเราบางทีก็อาจจะยังคิดทบทวนไม่เพียงพอ แล้วเมื่อผลปรากฏว่ามันก็เลยไม่เป็นตามที่หวังหนังเขาพยามยามพูดเรื่องเหตุและก็ผล แทนค่าของเหตุ ด้วยตัวแปรต้น
แล้วก็แทนค่าของผลด้วยตัวแปรตาม ด้วยเหตุผลดังกล่าวถ้าอยากจะให้ตัวแปรตามสำเร็จลัพธ์แบบมีคุณภาพ ก็จำเป็นต้องไปหาตัวแปรต้นว่าต้องเป็นอย่างไร หรือทำการกระตุ้นยังไงเพื่อได้หาคำตอบให้มันสอดคล้องตามข้อสมมติที่ตั้งเอาไว้ตอนต้น และก็การจะได้มาซึ่งคำตอบก็จำเป็นต้องถือมั่นและก็แน่แน่วสำหรับการทดลอง ถ้าเกิดในทางของประเด็นนี้ผมมองว่าหนังเข้าทำได้ดีรวมทั้งตอบโจทย์ของหนังมากมาย ๆ ครับผมหนังเขาเอ่ยถึงความสุดโต่ง ดังเช่นความสุดขั้วในด้านการศึกษาเรียนรู้
เผื่อได้ผลลัพธ์ในสิ่งที่ตัวเราเองต้องการ
แล้วก็มันก็ไปอย่างสุดขั้วจนกระทั่งที่ว่าไม่สนใจถึงกรรมวิธีการ ไม่สนใจในด้านจริยธรรมอะไรเลย ระหว่างหว่างการทดลองจะเป็นเยี่ยงไรก็ช่างไม่ต้องสน สนใจแต่ให้ได้คำตอบมาก็แล้วกัน จุดนี้หนังก็ทำให้พวกเราเห็นได้ชัดเจนรวมทั้งดีด้วยเหมือนกันจากความรู้สึกส่วนตัวผมมีความคิดว่าหนังมันไปถึงขั้นที่ว่า เขาต้องการจะแสดงให้พวกเรามองเห็นถึงความบกพร่องของวิทยาศาสตร์ว่า มันมิได้สามารถตอบปัญหาได้ทั้งหมด ถ้าเกิดเป็นวิทยาศาสตร์ที่เกิดจากหมกมุ่นตามัว
มันจะแปลงเป็นวิทยาศาสตร์ที่โง่เขลาเบาปัญญาโง่เขลายิ่งกว่าความเลื่อมใสเรื่องผีซะอีกจึงเป็นการตั้งข้อซักถามสำคัญอีกอย่างหนึ่งของหนังว่า วิทยาศาสตร์ที่ไม่มีสติ กับความเชื่อถือเหนือธรรมชาติที่พิสูจน์มิได้นั้น อะไรมันโง่งมมากยิ่งกว่ากันถ้าหากคนใดกันแน่มีความรู้สึกว่านี่คือหนังผีแนวสยองขวัญแบบสุดขีด ในแบบที่เป็นทางถนัดของ GDH หรือ GTH เพราะว่าด้วยชื่อผู้กำกับที่รับรองด้วยหนังสยองขวัญอย่างสุดขีดที่เขาเคยทำมาอีกทั้งสามเรื่องนั้น บอกเลยว่าอาจก่อให้ผิดหวัง
เพราะว่าฉากความสยองขวัญหรือฉากผีที่มาปรากฏในเรื่องนั้นมีน้อยมาก ๆ และมันก็เลยทำให้พวกเราเห็นว่าเขาแทบจะไม่ได้ให้น้ำหนักกับความเป็นหนังผีสยองขวัญเลยด้วยซ้ำแต่ GHOST LAB ฉีกกฎทดลองผี เขาย้ำไปที่การพยายามสำรวจความเชื่อถือเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติ ไปพร้อม ๆ กับการสำรวจและตริตรองเกี่ยวกับความหมายของการมีชีวิต จุดสำคัญของครอบครัว แล้วก็มิตรภาพระหว่างเพื่อนมากกว่า ด้วยเหตุนั้นน้ำหนักของอารมณ์ของหนังจึงย้ำไปที่ความเป็นดราม่ามากยิ่งกว่าสยองขวัญ
คุณถ้าเกิดคนไหนกันถูกใจหนังที่สื่อความหมายดี ๆ หัวข้อนี้ก็คงจะเข้าทางถ้าเกิดถามคำถามว่าภาพรวมของหนังประเด็นนี้สนุกหรือเปล่า จะได้คำตอบ 2 คำตอบเป็น ในแง่ของความเป็นหนังผีไม่สนุกเลยขอรับ แม้ว่าจะมีผีออกมาบ้างหรือไม่ว่าจะมีจังหวะที่ทำให้พวกเราสงสัยบ้าง แต่มันไม่ได้ทำให้พวกเรารู้สุกสยองขวัญอะไรสักเท่าไหร่ แต่ในทางของความเป็นหนังดราม่าก็จัดว่าบันเทิงใจ
หนังเขาสามารถแทรกความหมายสำคัญเข้ามาในหนังได้ดิบได้ดีและก็เพราะเหตุว่า GHOST LAB
ฉีกกฎทดลองผีเป็นหนังที่ฉาย Netflix ดังนั้นการแปลความเรื่องผี เรื่องเล่าหลังความตาย ก็เลยเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งที่อาจก่อให้ประเด็นนี้บรรลุความสำเร็จ หรืออาจส่งผลให้ประเด็นนี้ล้มเหลวก็ได้ แต่ว่าโดยส่วนตัวแล้ว GHOST LAB ดีแล้วกว่าหนังผีหลายเรื่องที่ฉายใน Netflix ซะอีก
บางอย่างที่มองในหนัง ดูแล้วก็ทำให้คิดถึงบางอย่างได้แก่ ชื่อของโรงหมอในหนังเป็น “รัตนราช” ซึ่งก็เป็นโรงพยาบาลเดียวกับหนังเรื่อง บอดี้ ศพ19 หนังเรื่องแรกที่ปวีณ เป็นผู้กำกับนั่นเอง รู้เรื่องว่าเขาคงจะใส่ไว้เป็น Easter Egg รวมทั้งอีกจุดหนึ่งที่เป็นข้อสังเกตุคือ มีอยู่ฉากหนึ่งที่เขาทำให้มองเห็นโลกที่อยู่ระหว่างโลกของคนเป็นรวมทั้งโรคของคนตาย เริ่มบรรยากาศที่ทำให้มองเห็นแต่สีขาวโพลน
มันก็ทำให้คิดถึงฉากที่แฮร์รี่พอตเตอร์ คุย กับอัลบัส ดัมเบิลดอร์ ในหนังแฮร์รี่พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูตในช่วงท้ายของเรื่องด้วย แม้กระนั้นก็ไม่รู้เรื่องว่านี่เป็นแรงจูงใจให้หรือเปล่าสิ่งหนึ่งที่น่าเสียดายมาก ๆ ที่ผมเห็นว่าหนังควรจะใส่เข้าไปในหนังให้มากขึ้นเป็น ในขณะที่ทดสอบหรือพิสูจน์เรื่องผี คงจะทำให้เห็นว่า ผีเป็นเยี่ยงไร ปรากฏตัวได้ในสถานะแบบไหนบ้าง ความเป็นตัวตนของผีแท้จริงแล้วก็คืออะไร มุมมองของผีที่ดูโบกจองคนเป็นเป็นอย่างไร หรือเปล่าว่าอะไรที่เกี่ยวกับผีให้พวกเราได้รับรู้มากกว่าที่มีในหนัง ผมเห็นว่ามันน่าจะมีความน่าสนใจให้กับหนังเยอะขึ้นในด้านการแสดง
ไอซ์-พาริสทำได้ดีในระดับที่น่าสนใจรวมทั้งเห็นความก้าวหน้าที่มากขึ้นกว่าในซีรีส์ที่เขาเคยเล่น ส่วนต่อ-ธนภพ ความสามารถเขาขั้นคำว่านักแสดงประสิทธิภาพไปแล้ว เรื่องนี้เขาเล่นดีจริง ๆ ทุกอย่างที่เขาแสดงออกในหนัง ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าแววตาอารมณ์ หรือลักษณะทางร่างกาย มันทำให้พวกเราเชื่อนักแสดงนี้ไปทั้งหมด แถมผู้แสดงหมอชีวีที่เขาเล่นมีมิติที่น่าสนใจอีกด้วย
GHOST LAB ฉีกกฎทดลองผี โดยภาพรวมและถือได้ว่าเป็นการพรีเซนเทชั่นอะไรที่ค่อนข้างแปลกใหม่กว่าหนังผีโดยทั่วไป แต่ถ้าหากมองดูในมุมของหนังผี กลายเป็นว่าทำเป็นไม่ดีนัก แม้กระนั้นในทางกันผ่าน หนังเขาทำเป็นดีในแง่ว่า สามารถทำให้เราเห็นว่า การไตร่ตรองะละความหมายของการมีชีวิตต่างหากที่เป็นสิ่งจำเป็นที่สุด
6/10
จริง ๆ หนังหัวข้อนี้ก็ยังเป็นหนังที่ชี้แนะให้ดูได้ครับผม ฉากสยอง ๆ หลายฉากยังทำงานเจริญ มี Jump Scare บาง ๆ พอหอมปากหอมคอ และฉากระทึกให้ลุ้นพองาม แม้กระนั้นถ้าเกิดจะเสนอแนะให้ดูหนังประเด็นนี้ ขอชี้แนะว่าให้ปิดโหมดการทำงานระบบตรรกะ และขอให้ลืมแนวทางวิทยาการวิจัย (Research Methodology) หรือใด ๆ ก็ตามที่เคยเรียนหรือรู้ตอนเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เทือก ๆ นี้ไปก่อนครับ
เป็นเอาจริงเอาจัง ๆ มันก็เป็นคำแนะนำที่ดูเหมือนขัด ๆ แปร่ง ๆ กับหนังที่ชักชวนให้เราใช้สมอง ใช้ความคิดหนัก ๆ กับหลักวิทยาศาสตร์ไปหน่อยนั่นแหละแม้กระนั้นผลจากการทดสอบของผู้เขียนสำหรับเพื่อการมองแบบปิดโหมดตรรกะ ผลของการทดสอบพบว่า น่าจะทำให้สามารถเพลิดเพลินไปกับตัวหนังได้มากกว่าจะมานั่งตั้งข้อสันนิษฐาน คิดหาคำถาม จับผิดโน่นนี่ อยากคำตอบกับสมมติฐานที่ว่า “ผีมีจริงไหม?” เพราะหนังเรื่องนี้คงจะให้คำตอบได้ “โดยประมาณหนึ่ง” แค่นั้นล่ะครับ